บทความที่ได้รับความนิยม المقالة المشهورة

วันพฤหัสบดีที่ 31 มีนาคม พ.ศ. 2554

عشرة احاديث في فضل قراءة القرآن الكريم

افتراضي عشرة احاديث في فضل قراءة القرآن الكريم

عشرة احاديث نبويه شريفه في فضل قراءة القران
1_ عن أبي أمامة رضي الله عنه قال : سمعت رسول الله صلى الله عليه وسلم يقول( اقرؤوا القران فإنه يأتي يوم القيامة شفيعا لأصحابه).أخرجه مسلم.
2_ عن عثمان بن عفان رضي الله عنه قال: قال رسول الله صلى الله عليه وسلم( خيركم من تعلم القران وعلمه).أخرجه البخاري.
3_ عن عائشة رضى الله عنها قالت: قال رسول الله صلى الله عليه وسلم( الذي يقرأ القران وهو ماهر به مع السفرة الكرام البررة, والذي يقرأ القران ويتتعتع فيه وهو عليه شاق له أجران). أخرجه البخاري.

4_ عن عمر بن الخطاب رضي الله عنه , أن النبي صلى الله عليه وسلم قال(إن الله يرفع بهذا الكتاب أقواما ويضع به آخرين).أخرجه مسلم.
5_ عن ابن عمر رضى الله عنهما عن النبي صلى الله عليه وسلم قال(لا حسد إلا في اثنين: رجل اتاه الله القران, فهو يقوم به آناء الليل وآناء النهار, ورجل آتاه الله مالآ, فهو ينفقه آناء الليل وآناء النهار). أخرجه البخاري.
6_ عن البراء بن عا** رضى الله عنه قال: كان رجل يقرأ سورة الكهف, وعنده فرس مربوط بشطنين , فتغشته سحابة فجعلت تدنو, وجعل فرسه ينفر منها. فلما أصبح أتى النبي صلى الله عليه وسلم فذكر ذلك له , فقال( تلك السكينة تنزلت للقرآن). أخرجه البخاري.
7_ عن ابن مسعود رضى الله عنه قال: قال رسول الله صلى الله عليه وسلم(من قرأ حرفا من كتاب الله فله حسنة, والحسنة بعشر أمثالها لا أقول{ألم} حرف, ولكن : ألف حرف,ولام حرف, وميم حرف).أخرجه الترمذي.
8ـ عن ابن عباس رضى الله عنهما قال: قال رسول الله صلى الله عليه وسلم ( إن الذي ليس في جوفه شئ من القران كالبيت الخرب).أخرجه الترمذي. 9_ عن عبد الله بن عمرو بن العاص رضى الله عنهما , عن النبي صلى الله عليه وسلم قال(يقال لصاحب القران: اقرأ وارتق ورتل كما كنت ترتل في الدنيا , فإن منزلتك عند آخر آية تقرؤها).أخرجه الترمذي.
10_ عن النواس بن سمعان رضى الله عنه قال: سمعت رسول الله صلى الله عليه وسلم يقول (يؤتى يوم القيامة بالقران وأهله الذين كانوا يعملون به في الدنيا تقدمه سورة البقرة وآل عمران , تحاجان عن صاحبهما). أخرجه البخاري. والسلام عليكم ورحمه الله وبركاته .

วันพุธที่ 23 มีนาคม พ.ศ. 2554

Dubai Car

Dubai and Moscow's Moving Skyscrapers

The World - Dubai

Dubai World Islands

موودا و موودي - هل تعلم ماذا فعلت اليوم؟ سبيس تون

ديمة الاولى | ديمة بشار | Files4arab.org

رغودة طيور الجنة

مين حبيب بابا

بابا تليفون

أنشودة أطفال وكل شيء حلو منهم

วันศุกร์ที่ 11 มีนาคม พ.ศ. 2554

อันดับโลกของการศึกษาไทย

اللغة العربية لغير الناطقين بها

MUSLIM KIDS CRAFTS: Arabic alphabet activity for small children

Learn Arabic Alphabet: Teach Children Letter Haa ح Classical Arabic Lang...

Arabic Alphabet song - new

หลักสูตรภาษาจีน สำหรับนักเรียนมัธยม ที่วัดเบญจมบพิตร

แนวคิด ทฤษฎีการพัฒนาหลักสูตร กมลเนตร ดิสโสภา

e-Learning : บทเรียนออนไลน์ สื่อการสอน Cai

ทฤษฎีการเรียนรู้ของกาเย่.avi

http://www.youtube.com/watch?v=_epFiXdhDws

เรียนไวยากรณ์อังกฤษให้เป็นเร็ว

http://www.youtube.com/watch?v=T7eljnGa-5E

เรียนไวยากรณ์อังกฤษให้เป็นเร็ว

สถาบันสอนภาษาอังกฤษ สอนการใช้สำนวนการพูดภาษาอังกฤษ

www.youtube.com/watch?v=N2owmcZ9Qsk

สถาบันสอนภาษาอังกฤษ สอนการใช้สำนวนการพูดภาษาอังกฤษ

วันจันทร์ที่ 7 มีนาคม พ.ศ. 2554

มุฮัมมัด ศาสนทูตของพระเจ้าจากมุมมองของปัญญาชนโลก

PDFพิมพ์อีเมล
เขียนโดย อ.บรรจง บินกาซัน   
วันอังคารที่ 11 สิงหาคม 2009 เวลา 17:41 น.
 มุฮัมมัด ศาสนทูตของพระเจ้าจากมุมมองของปัญญาชนโลก.
            ในอดีต เคยมีนักคิดและนักวิชาการหลายคนได้พยายามที่จะจัดลำดับว่าในบรรดามหาบุรุษหรือบุคคลสำคัญๆที่มีส่วนต่อการเปลี่ยนแปลงโลกนั้นมีใครบ้าง และใครควรจะจัดอยู่ในลำดับที่เท่าไหร่ และใครควรที่จะถูกจัดไว้เป็นอันดับแรกในจำนวนมหาบุรุษทั้งหมด

            นิตยสารรายสัปดาห์ TIME ฉบับวันที่ 15 กรกฎาคม 1974 หน้า 32-33 ได้ตีพิมพ์บทความเรื่อง Who Were History's Great Leaders ? (ใครคือผู้ที่นำที่ยิ่งใหญ่ของประวัติศาสตร์?) ของนักจิตวิเคราะห์ชาวอเมริกันคนหนึ่งชื่อจูลส์ มาสเซอร์แมน (Jules Masserman) ซึ่งได้วางหลักเกณฑ์กว้างๆในการคัดเลือกไว้ว่าผู้ที่จะเป็นผู้นำที่ยิ่งใหญ่ที่สุดตลอดกาลได้นั้น จะต้องปฏิบัติหน้าที่ 3 ประการต่อไปนี้ให้สำเร็จ นั่นคือ





1) ให้ความเป็นอยู่ที่ดีแก่ผู้คนทั่วไป
 
2) สร้างระเบียบทางสังคมที่ทำให้คนที่อยู่อาศัยในนั้นมีความรู้สึกมั่นคงปลอดภัย
 
3) สร้างระบบความเชื่ออย่างหนึ่งให้แก่สังคม
            หลังจากกำหนดหลักเกณฑ์ที่จะตัดสินว่าใครสมควรที่จะได้ชื่อว่าเป็นสุดยอดของมหาบุรุษโลกผู้ยิ่งใหญ่แล้ว นายจูลส์ มาสเซอร์แมนก็ได้แสดงความเห็นโดยอาศัยหลักเกณฑ์ดังกล่าวข้างต้นเป็นพื้นฐานการพิจารณาว่า  "คนอย่างหลุยส์ ปาสเตอร์และซอล์ค เป็นผู้นำในข้อแรก ส่วนคนอย่างคานธีและขงจื๊อในด้านหนึ่งและคนอย่างอเล็กซานเดอร์ ซีซ่าร์และฮิตเลอร์ในอีกด้านหนึ่งนั้นเป็นผู้นำในข้อที่สองและในข้อที่สาม สำหรับพระเยซูและพระพุทธเจ้านั้นก็เป็นผู้นำในข้อที่สามเท่านั้น แต่คนที่เป็นผู้นำที่ยิ่งใหญ่ที่สุดตลอดกาลก็คือมุฮัมมัดผู้ทำหน้าที่ทั้งสามได้ครบ ถึงแม้โมเสสจะทำได้เหมือนกับมุฮัมมัด แต่ก็ยังน้อยกว่า" 
 หลังจากนั้นอีกสี่ปี คือใน ค.ศ.1978 ก็มีหนังสือออกมาอีกเล่มหนึ่งชื่อ The 100 ? A Ranking of The Most Influential Persons in History ( 100 ลำดับบุคคลผู้มีอิทธิพลที่สุดในประวัติศาสตร์) ซึ่งเขียนโดยนายไมเคิล เอช. ฮาร์ท (Michael H. Hart) นักดาราศาสตร์ชาวอเมริกันและเป็นหนังสือที่ขายดีที่สุดเล่มหนึ่งในเวลานั้น หนังสือเล่มนี้ได้จัดลำดับบุคคลสำคัญๆในแขนงสาขาต่างๆจำนวน 100 คนที่เขาเห็นว่าเป็นผู้ที่ทรงอิทธิพลที่สุดในประวัติศาสตร์ แต่ในที่นี้จะนำมากล่าวเพียง 20 ลำดับเท่านั้นคือ
 

               1. นบีมุฮัมมัด
               2. ไอแซค  นิวตัน
               3. พระเยซูคริสต์
               4. พระพุทธเจ้า
               5. ขงจื้อ
               6. เซนต์  ปอล
               7. ไซหลุน
               8. โยฮาน  กูเต็นเบิร์ก
               9. คริสโตเฟอร์  โคลัมบัส
              10.อัลเบิร์ต  ไอน์สไตน์
         11. คาร์ล  มาร์กซ
         12. หลุยส์  ปาสเตอร์
         13. กาลิเลโอ
         14. อริสโตเติล
         15. เลนิน
         16. โมเสส
         17. ชาร์ล  ดาร์วิน
         18. ซีหวังตี
         19. ออกัสตัส  ซีซาร์
         20. เหมา เจ๋อ ตุง
           ในหนังสือเล่มนี้ นายไมเคิล เอช. ฮาร์ต ได้แสดงความคิดเห็นข้อพิจารณาในการจัดลำดับมหาบุรุษของโลกไว้หลายแง่หลายมุมด้วยกัน ลองมาดูว่าเขาได้กล่าวถึงท่านนบีมุฮัมมัดไว้อย่างไร
 





  1) ประสบความสำเร็จสูงสุด "ที่ผมเลือกเอานบีมุฮัมมัดขึ้นมาเป็นอันดับหนึ่งของรายชื่อบุคคลผู้มีอิทธิพลที่สุดของโลกนั้นอาจทำให้ผู้อ่านบางคนแปลกใจและบางคนอาจจะสงสัย แต่เขาเป็นคนเดียวในประวัติศาสตร์ที่ประสบความสำเร็จสูงสุดทั้งในด้านศาสนาและด้านโลกวัตถุ" (หน้า 4 และ 33)
 
  2) ผู้ที่รวมอาหรับได้เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ "ชนเผ่าเบดูอินแห่งอารเบียเป็นเผ่าที่มีชื่อเสียงร่ำลือมากในเรื่องความเป็นนักรบที่ดุร้าย แต่เนื่องจากมีจำนวนน้อยและแตกแยกเป็นก๊กเป็นเผ่าทำสงครามเข่นฆ่ากันอยู่ตลอดเวลา พวกอาหรับจึงไม่มีทางที่จะเปรียบเทียบได้กับกองทัพที่ใหญ่กว่าของอาณาจักรต่างๆในเขตการเกษตรที่เป็นหลักแหล่งแล้วในทางตอนเหนือ อย่างไรก็ตาม หลังจากที่ได้ถูกรวบรวมเข้าด้วยกันเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์โดยมุฮัมมัดและด้วยความศรัทธาอันแข็งแกร่งในพระเจ้าที่แท้จริงแต่เพียงพระองค์เดียว กองทัพอาหรับเล็กๆเหล่านี้ก็เริ่มทำการพิชิตต่อเนื่องกันอย่างน่าประหลาดที่สุดในประวัติศาสตร์มนุษยชาติ" (หน้า 34-35)
 
  3) ผู้มีบทบาทสำคัญในการพัฒนาอิสลาม "ประการแรก นบีมุฮัมมัดมีบทบาทสำคัญเป็นอย่างยิ่งต่อการพัฒนาอิสลามมากกว่าที่พระเยซูมีต่อการพัฒนาศาสนาคริสต์ถึงแม้ว่าพระเยซูจะเป็นผู้ที่มีส่วนสำคัญต่อคำสอนทางด้านจริยธรรมและศีลธรรมของศาสนาคริสต์ เซนต์ ปอลต่างหากที่เป็นคนพัฒนาวิชาการคริสตศาสนาและเป็นคนเปลี่ยนแปลงศาสนาที่สำคัญและเป็นผู้เขียนเนื้อหาส่วนใหญ่ของคัมภีร์ใหม่ แต่อย่างไรก็ตาม นบีมุฮัมมัดก็เป็นผู้รับผิดชอบต่อทั้งศาสนศาสตร์และหลักการทางศีลธรรมและจริยธรรมของอิสลาม นอกจากนั้นแล้ว ท่านยังเป็นผู้มีบทบาทสำคัญในการเปลี่ยนแปลงความเชื่อใหม่และในการวางรากฐานการปฏิบัติศาสนกิจของอิสลามด้วย" (หน้า 39)
 
  4) ผู้นำทางโลกและทางศาสนาที่มีอิทธิพลยิ่งใหญ่ "เนื่องจากกุรอานเป็นสิ่งสำคัญต่อมุสลิมเช่นเดียวกับที่คัมภีร์ไบเบิลมีความสำคัญต่อชาวคริสเตียน อิทธิพลของนบีมุฮัมมัดผ่านทางคัมภีร์กุรอานจึงยิ่งใหญ่มาก ดังนั้น มันจึงเป็นไปได้ที่อิทธิพลของนบีมุฮัมมัดต่ออิสลามจะยิ่งใหญ่กว่าอิทธิพลของพระเยซูและเซนต์ ปอลที่มีต่อศาสนาคริสต์รวมกันเสียอีก" "ยิ่งไปกว่านั้น มุฮัมมัดยังเป็นผู้นำทางโลกและทางศาสนาด้วยซึ่งไม่เหมือนกับพระเยซู ความจริงแล้ว ในฐานะที่เป็นพลังผลักดันอยู่เบื้องหลังการพิชิตของชาวอาหรับ ท่านน่าที่จะอยู่ในตำแหน่งผู้นำทางการเมืองที่มีอิทธิพลที่สุดในทุกยุคทุกสมัยเสียด้วยซ้ำ" "ในเหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์ที่สำคัญๆ บางคนอาจพูดว่าเหตุการณ์นั้นเป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงไม่ได้และมันเกิดขึ้นมาเองถึงแม้ว่าจะไม่มีผู้นำทางการเมืองคนใดคนหนึ่งมานำทางเหตุการณ์นั้น ตัวอย่างเช่น อาณานิคมอเมริกาใต้อาจจะได้รับเอกราชจากสเปนก็ได้ถึงแม้ว่าจะไม่มีคนอย่างไซม่อน โบลิวาร์ แต่กรณีเช่นนี้จะนำมาใช้กับการพิชิตของพวกอาหรับไม่ได้ เพราะไม่มีสิ่งใดเช่นว่านี้เกิดขึ้นก่อนนบีมุฮัมมัด และไม่มีเหตุผลใดที่จะเชื่อว่าการพิชิตของพวกอาหรับจะเกิดขึ้นได้หากปราศ จากนบีมุฮัมมัด" (หน้า 39-40)
 
 5) บุคคลเดียวที่มีอิทธิพลที่สุดในประวัติศาสตร์มนุษยชาติ "ดังนั้น เราจะเห็นว่าการพิชิตของพวกอาหรับในศตวรรษที่ 7 ยังมีบทบาทสำคัญต่อไปในประวัติศาสตร์มนุษยชาติเรื่อยมาจนกระทั่งปัจจุบัน" "การรวมกันของอิทธิพลทางโลกและศาสนาอย่างไม่มีอะไรมาเสมอเหมือนได้นี้เองที่ทำให้ผมรู้สึกว่านบีมุฮัมมัดสมควรที่จะถูกพิจารณาว่าเป็นบุคคลเดียวที่มีอิทธิพลที่สุดในประวัติศาสตร์มนุษยชาติ" (หน้า 40)
 
  นอกจากนี้แล้วยังมีผู้นำและปัญญาชนที่โลกรู้จักดีอีกหลายคนได้กล่าวถึงนบีมุฮัมมัดไว้ดังนี้ :-

มหาตมะคานธี ในหนังสือเรื่อง Young India
 
  "ข้าพเจ้าต้องการที่จะรู้จักคนที่ดีที่สุดที่กำหัวใจของมนุษย์นับล้านคนในปัจจุบันโดยไม่อาจมีใครโต้แย้งได้.....ข้าพเจ้ายิ่งกว่าเชื่อมั่นว่ามิใช่ดาบแต่ประการใดที่ทำให้อิสลามได้ชัยชนะในอดีตในการดำเนินชีวิต หากแต่เป็นความเรียบง่าย การไม่ยึดติดอยู่กับตัวตนของนบี การรักษาสัญญาของท่านอย่างเคร่งครัด การอุทิศตนให้แก่เพื่อนและบรรดาสาวก ความกล้าหาญทรหด ความไม่เกรงกลัวใคร ความไว้วางใจในพระเจ้าอย่างหมดใจและในการปฏิบัติภารกิจของท่านเอง สิ่งเหล่านี้ต่างหาก มิใช่ดาบที่นำทุกสิ่งมาวางไว้ต่อหน้าพวกเขาและทำลายอุปสรรคทุกอย่าง เมื่อข้าพเจ้าปิดหนังสือ(ชีวประวัติของนบีมุฮัมมัด)เล่มที่ 2 ข้าพเจ้าเสียใจที่ไม่มีโอกาสได้อ่านชีวิตอันยิ่งใหญ่อีก"

สารานุกรมเอ็นไซโคลปีเดีย บริตานิกา
 
  "มุฮัมมัดเป็นผู้ที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดในบรรดานบีและบุคคลทางศาสนา"

โธมัส คาร์ไลล์ ในหนังสือ Heroes and Heroworship
 
  "เป็นไปได้อย่างไรที่คนมือเปล่าเพียงคนเดียวสามารถที่จะรวมเผ่าต่างๆที่ทำสงครามรบพุ่งกันและพวกอาหรับเร่ร่อนให้เป็นชาติที่ทรงอำนาจและมีอารยธรรมภายในช่วงเวลาไม่ถึงสองทศวรรษ"

ยอร์จ เบอร์นาร์ด ชอว์
 
  "ถ้าหากคนอย่างมุฮัมมัดได้เป็นผู้มีอำนาจเบ็ดเสร็จของโลกสมัยใหม่แล้ว เขาจะประสบความสำเร็จในการแก้ปัญหาที่จะมาซึ่งสันติภาพและความสุขที่ต้องการ"





บทความโดย อ.บรรจง บินกาซัน ประธานโครงการอบรมผู้สนใจอิสลาม มูลนิธิสันติชน 
Source: Thaimuslimshop.com
ข้อมูลเพิ่มเติม http://www.amaana.org/ismailim.html
แก้ไขล่าสุด ใน วันจันทร์ที่ 19 ตุลาคม