เรื่อง “ทฤษฎีการพัฒนากับการเรียนการสอนภาษา” โดย รศ.ดร. พัชรินทร สิรสุนทร
Social Interaction Approach
ในการศึกษาสังคมควรศึกษาทั้งในแงขนาดและลักษณะทางสังคม นักสังคมวิทยามีความเชื่อพื้นฐานวา ความสัมพันธ
ของคนในสังคมเปนแรงผลักทางสังคม (Social Force) และวัฒนธรรมตลอดจนธรรมชาติของพฤติกรรมมนุษย
ลวนเปนผลมาจากปฏิสัมพันธทางสังคม (Social Interaction ) ของมนุษยทั้งสิ้น
1. ความสัมพันธของมนุษย( Human Interaction )เปนสิ่งที่มีอิทธิพลตอการรวมกันเปนสังคมของ
มนุษยและ การติดตอกันดวยสัญญลักษณ (Symbolic Interaction) สัญญาณ (Sign)
2. การศึกษาความสัมพันธระหวางคนกับวัตถุก็ถือวาเปนสาระของสังคมวิทยาเชนกัน เนื่องจากวัตถุเปน
Social Object ที่คนมีปฏิสัมพันธดวย
3. มุงศึกษาความสัมพันธที่มีวัตถุประสงคและเปนปฏิกริยาที่เกิดขึ้นโดยเจตนา
4. ศึกษาสังคมทั้งสังคมทั้งในสวนยอยและสวนใหญ เชนภาวะโครงสรางภายในของสังคม (Internal Structure )
และศึกษาลักษณะภายในสังคมตางๆ
5. ศึกษาสถาบัน (Institutions)
6. ศึกษาลักษณะทางสังคมของภาษา (Social Nature of Language) โดยการเรียนรูจาก
ประสบการณของมนุษยทั้งโดยภาษาพูด ( Verbal ) และภาษาทาทาง( Gestures)ในขณะที่มีสติ
( Consciousness )
7. ศึกษากระสวนของการปฏิสัมพันธ(Pattern of Interaction ) โดยการศึกษาบทบาทและ
โครงสราง ( Role and Structure )
8. ศึกษาบทบาทและความสัมพันธที่เกี่ยวของกัน ( Relations )
9. ศึกษาความสัมพันธทางสังคม (Social Relations) จากสถานภาพ (Status) และบทบาท (Role)
10. ศึกษาการเปลี่ยนแปลงทางสังคม (Social Changes )
11. ศึกษาความขัดแยงทางสังคม (Social Conflict ) และการจัดการกับความขัดแยง
กลุมทฤษฎีสัมพันธสัญญลักษณ( Symbolic Interactionism Theories )
นักทฤษฎีสัมพันธสัญญลักษณคนสําคัญไดแก :
George Herbert Mead (1863-1931)
Mead แบงขั้นตอนการพัฒนาตัวตนของบุคคลออกเปน3 ขั้นตอนไดแก
1. ขั้นการเตรียมตัว ( Preparatory Stage )
2. ขั้นตอนของการเลน ( Play Stage )
3. ขั้นการรูจักชุมชนหรือสังคม (Game Stage )
Mead เชื่อวาการกระทําระหวางกันทางสังคมเปนสิ่งสําคัญมากตอการสรางตัวตนของบุคคล เนื่องจากบุคคลจะ
ตองแสดงกริยาอาการ (Gestures) ออกมาในระหวางที่มีการติดตอสัมพันธกับผูอื่น โดยแบงกริยาอาการของ
บุคคลออกเปน 2 แบบคือ2
1. กริยาที่ไมมีความหมาย ( Non-significant gestures) หมายถึงกริยาที่เปนไปตามธรรมชาติหรือ
เปนไปโดยอัตโนมัติเปลี่ยนแปลงไปตามสิ่งเรา
2. กริยาที่มีความหมาย (Significant gestures) เกิดจากภาษาหรือสัญญลักษณที่มนุษยคิดคนขึ้นมาเปน
เครื่องมือในการสื่อความหมายกับบุคคลอื่นในสังคม
Mead ไดแบงขั้นตอนของการกระทําระหวางกันทางสังคมออกเปนขั้นตอนโดยแตละขั้นไมจําเปนตองเสร็จสิ้น
ในทันทีซึ่งสามารถนํามาประยุกตใชในการเรียนการสอนภาษาไดดังนี้
Social Action (ขั้นตอนในการปฏิบัติการทางสังคมในการเรียนภาษา)
1. Impulse stage / not ready stage (ขั้นของแรงกระตุน) เกิดขึ้นในขณะที่รางกายของบุคคล
ยังอยูในภาวะที่ไมสมดุล การกระทําที่แสดงออกจึงไมมีเปาหมายหรือไมมีทิศทางในการกระทํา
2. Perception stage (ขั้นแลเห็นหรือเขาใจความหมาย) เปนขั้นที่บุคคลเริ่มกําหนดสถานการณและคนหา
วิธีการที่จะทําใหตัวเองบรรลุเปาหมายหรือไดรับความพึงพอใจ
3. Manipulation stage (ขั้นกระทําหรือจัดแจง) เกิดขึ้นหลังจากที่บุคคลตัดสินใจและรับรูหรือเขาใจใน
เปาหมายในขั้นตอนที่สองแลวและลงมือกระทําพฤติกรรม
4. Consummation stage / obtain the goal (ขั้นสมบูรณ) เกิดขึ้นเมื่อเปาหมายของบุคคล
ไดรับการตอบสนองและบุคคลกลับคืนสูสภาวะสมดุลอีกครั้งหนึ่ง
Mead แบงตัวตนของบุคคลออกเปน 2 แบบดังนี้
1. “ I ” หมายถึง การตอบสนองของรางกายตอทัศนคติและการกระทําของสมาชิกในสังคม
2. “ Me ” หมายถึงตัวตนในสวนที่สังคมคาดหวังวาบุคคลตองกระทํา me จึงจัดเปนตัวตนทางสังคม
( Social Self ) ของบุคคลที่เกิดขึ้นจากการที่บุคคลไดรับการขัดเกลาทางสังคม
Herbert Blumer
Blumer มีทัศนะวา มนุษยจะมีการกระทําตอสิ่งตางๆโดยอาศัยพื้นฐานของการตีความ ความหมายที่สิ่งตางๆ
เหลานั้นปรากฏออกมา ผานการกระทําระหวางกันทางสังคมกับบุคคลอื่นๆ และลักษณะของการตีความสิ่งตางๆของ
บุคคลนี้จะขึ้นอยูกับความหมายที่บุคคลใหกับสิ่งนั้นตามประสบการณที่เขาเคยไดรับมา และการตีความตามสัญญลักษณ
ที่บุคคลอื่นแสดงออกมา โดยแบงวัตถุหรือสัญญลักษณตางๆออกเปน 3 ประเภทคือ
1. วัตถุทางกายภาพ ( Physical Object )
2. วัตถุทางสังคม ( Social Obect )
3. วัตถุทางนามธรรม ( Abstract Object )
Blumer เชื่อวา บุคคลจะเรียนรูวัตถุหรือสัญญลักษณเหลานี้โดยการกระทําระหวางกันทางสังคมกับบุคคลอื่น
หลังจากนั้นจึงเกิดการรับรูตัวตน ( Self ) ในลักษณะตางๆกอนนํามาตีความ เมื่อมีโอกาสเขารวมสังคมกับคนอื่น
แลวจึงแสดงพฤติกรรมตอบโตออกไป
การเรียนการสอนภาษามิใชเปนการเรียนเฉพาะตัวภาษาเทานั้น แตเปนการสอนตัวตน ชีวิตความเปนอยู โดยผาน
ภาษานั้นๆเปนตัวเชื่อมนั่นเอง
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น